บทที่5 สรุป
สรุปการดำเนินการศึกษา
จากการศึกษา การพัฒนาชุดการสอน เรียนรู้ด้วยตัวเอง เรื่อง การใช้โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ สำหรับนิสิต ปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1. เพื่อพัฒนาชุดการสอน เรียนรู้ด้วยตัวเอง เรื่อง การใช้โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ สำหรับนิสิต ปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2. เพื่อเปรียบเทียบคะแนนทางการเรียนก่อนและหลังเรียนเรื่อง การใช้โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ สำหรับนิสิตปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 ที่พัฒนาขึ้น
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อนิสิต ปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 ของชุดการสอนที่พัฒนาขึ้น
วัตถุประสงค์ทั่วไป
1. เพื่อศึกษาผลการการพัฒนาชุดการสอน เรียนรู้ด้วยตัวเอง เรื่อง การใช้โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ
สำหรับนิสิต ปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 1
กลุ่มตัวอย่าง : กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง คือ นิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา คณะศึกษาศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีการศึกษา โดยการจับสลาก เลือกห้อง มา 1 ห้องเรียน จาก 3 ห้องเรียน จำนวน 30 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. ชุดการสอนเรื่องการตัดต่อวีดีโอด้วยโปรแกรม Movie Maker
2. แบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรียน
3. แบบสอบถามความพึงพอใจ ที่มีต่อชุดการสอน เรื่อง การใช้โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ สำหรับนิสิตปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 1
การเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ศึกษาดำเนินการเก็บข้อมูลกับนิสิต จำนวน 30 คน โดยทำการเก็บข้อมูลทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งจะเก็บทั้งคะแนนก่อนเรียน แบบฝึกหัด และหลังเรียน เพื่อนำมาคำนวณค่าประสิทธิภาพของชุดการสอน เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ แลละความต่างหรือความก้าวหน้าของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พร้อมทั้งหลังจากที่ทำการทดลองสื่อเสร็จก็จะให้ผู้เรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจต่อ ชุดการสอน เรียนรู้ด้วยตัวเอง เรื่อง การใช้โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ สำหรับนิสิต ปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 นำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหาค่าความพึงพอใจต่อไป
สรุปผลการศึกษา
1. ผลการหาประสิทธิภาพของชุดการสอน เรียนรู้ด้วยตัวเอง เรื่อง การใช้โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ
ประสิทธิภาพ E1 / E2 ของ ชุดการสอน
พบว่า มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.13/82.80 ซึ่งประสิทธิภาพเป็นไปตามที่กำหนดไว้คือ 80/80 ซึ่งตรงวัตถุประสงค์กำหนดและสมมุติฐานที่ได้กำหนดไว้
2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้ชุดการสอนพบว่า
คะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
คะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนหลังเรียนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตรงวัตถุประสงค์กำหนดและสมมุติฐานที่ได้กำหนดไว้
3. ผลการประเมินความพึงพอใจการใช้ชุดการสอน
พบว่าผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนด้วยชุดการสอนเรื่องการตกแต่งวีดีโอ ซึ่งอยู่ในระดับ มาก โดยคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 3.36 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.13 ซึ่งตรงวัตถุประสงค์กำหนดและสมมุติฐานที่ได้กำหนดไว้
การอภิปรายผล
จากการศึกษาพบว่า การใช้ชุดการสอนส่งผลให้ผู้เรียนมีผลคะแนนก่อนเรียนกับกลังเรียนต่างกัน มีผลการเรียนดีขึ้น มีประสิทธิภาพ 81.13/82.80 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานทั้งนี้
อาจเนื่องมาจากชุดการสอนที่นำมาใช้ฝึกประกอบไปด้วยความรู้ที่หลากหลายน่าสนใจ มีภาพ คำอธิบายที่ชัดเจน มีกิจกรรม การเรียนรู้เป็นระบบจากง่ายไปยาก เหมาะสมกับนิสิต และเสนอเนื้อหาสาระได้อย่างครบถ้วน จึงส่งผลให้นิสิตเข้าใจบทเรียนเกิดการเรียนรู้ที่รวดเร็วถูกต้องและชัดเจนสอดคล้องกับที่
เยาวลักษณ์ เตียรณบรรจง (2544, หน้า 192) กล่าวไว้ว่า ปัจจัยสำคัญ อย่างหนึ่งที่ช่วย กระตุ้น ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ สื่อการเรียนรู้จึงจำเป็นต้องพัฒนาสื่อการเรียนรู้ให้ ทันสมัยทันเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมของสังคม และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
1. จากผลการวิจัยชุดการสอนเรียนรู้ด้วยตัวเอง เรื่อง การใช้โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ สำหรับนิสิต ปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 1
2. ในการวิจัยครั้งนี้ได้กำหนดเกณฑ์การประเมินจากความสามารถของกลุ่มทดลอง ซึ่งบริบทของ นักเรียนแต่ละพื้นที่อาจมีความต่างกันอยู่บ้างจึงควรทดสอบความสามารถของนักเรียนก่อน เพื่อพิจารณาความ เหมาะสมตามบริบทของนักเรียนก่อนนา ไปใช้ซึ่งการกำหนดเกณฑ์การประเมินดังกล่าวอาจเป็นลักษณะ ปลายเปิดโดยไม่มีการกำหนดคะแนนเต็ม หรืออาจกำหนดการประเมินแบบอิงกลุ่มแทนตาม ความเหมาะสม
3. จากผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดการสอน เรียนรู้ด้วยตัวเอง เรื่อง การใช้โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ สำหรับนิสิต ปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ครูจึงควรนำชุดการสอนไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้จะทำให้นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะในการแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์สูงขึ้น
ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป
1. จากผลการพัฒนาและหาประสิทธิภาพของชุดการสอนแบบมัลติมีเดีย พบว่า มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 ดังนั้น จึงควรพัฒนาและหาประสิทธิภาพของชุดการสอน เพื่อพัฒนาทักษะ ทางตัดต่อวีดีโอให้ดียิ่งขึ้น
2. การปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนที่กระตุ้นให้นักเรียนแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ด้วยตนเองจึงควร พัฒนารูปแบบการสอนรูปแบบใหม่ที่ทัน ต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน
3. จากผลความพึงพอใจของนักเรียน พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจการเรียนโดยใช้ชุดการสอนแบบ มัลติมีเดียในระดับมาก จึงควรพัฒนาและหาประสิทธิภาพสื่อประเภทมัลติมีเดียในรูปแบบอื่นๆ เช่น สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) หนังสืออิเล็กทอนิค (E-Books) บทเรียนออนไลน์ เป็นต้น เพื่อนำมาใช้ฝึกหรือ พัฒนาการด้านทักษะทางด้านตัดต่ออย่างสร้างสรรค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น